วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2552

เจริญรสเด็ด คลองสี่ ถ.รังสิต-องค์รักษ์ จ.ปทุมธานี

ไปกินเตี๋ยวเรือกันครับ โดยความที่เป็นคนรังสิตอะนะฉะนั้นก็ต้องพามากินเตี๋ยวเรือรังสิตถึงจะถูกต้องจริงปะเพราะถ้าพาไปกินก๋วยเรืออยุธาก็ยังไงอยู่
(จริงๆแล้วก็เคยไปกินเตี๋ยวเรืออยุธยาที่เค้าบอกว่าเป็นเจ้าตำรับมาเหมือนกันแหละแต่รสมันไม่คุ้นลิ้นไม่อยากจะบอกว่าไม่อร่อยกลัวว่าเดี๋ยวจะโดนตืบเอาก็เลยไม่มาแนะนำในนี้)แต่ถ้าวันไหนเจอร้านที่มันเด็ดละก็จะเอามาลงแนะนำกันแน่นอน
ร้าน"เจริญรสเด็ด"ตั้งอยู่บริเวณปากคลองสี่ฝั่ง อ.ธัญญบุรี การเดินทางเริ่มจากรังสิตมุ่งสู่ถนนรังสิต-องครักษ์ ขับไปเรื่อยๆจะพบกับ LOTUS ด้านซ้ายมือถัดไปจะเป็นสะพานข้ามคลองสี่เมื่อข้ามสะพานแล้วให้เลี้ยวซ้ายแล้วจอดรถบริเวณด้านหน้า 7-11 ได้เลยหรือจะจอดหน้าร้านเลยก็ได้แต่ไม่แนะนำเพราะส่วนมากจะเต็มฉะนั้นถ้าเห็นมีที่ว่างจอดรถได้ก็ขอให้จอดเลยครับ เสร็จแล้วก็จะเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวที่มีลักษณะเป็นบ้านไม้เก่าๆตามกาลเวลาซึ่งเปิดมากี่ปีแล้วก็ไม่รู้เพราะไม่ได้ถามไม่สำคัญความสำคัญอยู่ที่ขอให้อร่อยเป็นพอ..มากินอย่างเดียว แต่ผมก็มากินที่ร้านนี้มาสิบกว่าปีแล้วหละ ทีนี่มีร้านขายของกินเล็กๆน้อยๆเรียกน้ำย่อยประเภทหมูสะเต๊ะ,กล้วยทอด,ขนมถ้วยและผลไม้ตั้งอยู่หน้าร้านในลักษณะต่อเชื่อมทางธุรกิจอยู่ด้านหน้า
(เรียกซะหรูเลยวุ้ย...)
สำหรับร้านนี้เด็ดทั้งก๋วยเตี๋ยวหมูแบบน้ำใสโบราณและเนื้อน้ำตกอร่อยทั้งคู่ ราคาชามละ 25 พิเศษ 30 บาท ดังนั้นถ้าไม่ได้อยู่แถวนี้แบบว่านานๆผ่านมาทีก็ขอแนะนำว่าให้สั่งเตี๋ยวเนื้อน้ำตกก่อนแล้วค่อยตบตูดตามด้วยหมูต้มยำทั้งนี้ทั้งนั้นขอให้สั่งแบบธรรมดามานะครับเพราะถ้าสั่งแบบพิเศษ 2 ชามนี่ยัดไม่หมดแน่นอนลองมาแล้วแต่สำหรับผมเองแบบว่าร้านตั้งอยู่ใกล้บ้านไงเดินทางไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงแล้วก็เลยสั่งแบบพิเศษครับชามเดียวอยู่
ร้านนี้เปิดทำการความอร่อยตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็นมีหยุดบ้างนานๆครั้ง
ชามแรกเป็นเนื้อน้ำตก...อ้อลืมไปจะสั่งหมูน้ำตกก็ได้นะครับมีเหมือนกันแยกหม้อด้วยแต่ผมไม่เคยชิม
ชอบแบบเดิมๆมากกว่า...จำได้ว่าก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตกเนี่ยอุบัติขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่ไม่กินเนื้อครับตอนแรกๆก็มีไม่กี่ร้านแต่มาบูมสุดขีดก็เพราะฤทธิ์วัวบ้าเมื่อเกือบๆยี่สิบปีที่ผ่านมาโน่นเเหละ(ไม่รู้ยังจำกันได้รึป่าว)ตอนนั้นนะอะไรที่เคยทำจากเนื้อต้องปรับตัวกันยกใหญ่เชียวเหละโดยใช้อย่างอื่น เช่น หมูหรือไก่แทน คิดๆแล้วยังเสียดายร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อน้ำใสที่เป็นรถเข็นขายอยูที่หน้าหมู่บ้านรัตนโกสินทร์ 200 ปี อยู่เลย ก็เพราะไอ้วัวบ้าเนี่ยเหละป้าเค้าก็เลยเปลี่ยนจากเนื้อเป็นหมูแทนเพราะตอนนั้นกระแสแรงจริงๆแรงพอๆกันไข้หวัดนกเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานั่นแหละที่ไก่ขายไม่ได้เลยจนนายกต้องมากินไก่โชว์ที่สนามหลวงน่ะ แต่มันแทนกันไม่ได้รสมันเปลี่ยนไม่เหมือนเดิมสุดท้ายก็เลยต้องปิดตัวไป เฮ้อเสียดายอ่ะอยากกินอีก
(บ่นยาวเลยกรู)
อ่ะ...มาเข้าเรื่องดีกว่าให้มาเพียบครับคุ้มค่าเงิน 30 บาท
สั่งแบบเอาทุกอย่าง...มีอะไรใส่มาให้หมด(ทำอย่างกะปล้นแน่ะ)สด,ตับ,เปื่อย...ลูกชิ้น เมื่อได้มาแล้วก็ค่อยๆบรรจงเติมเครื่องปรุงที่ละน้อย(น้ำรสเข้มอยู่แล้วหนักเครื่องไปเดี๋ยวจะกินไม่ได้ซะ)ชิมทีละหน่อยจนถูกใจใครชอบใบโหระพาก็เด็ดแล้วประเคนลงไปตามชอบ ทางร้านจัดไว้ให้เป็นกำมือแบบสดๆแล้วก็...ลุยๆๆ
ไม่ถึงห้านาทีก็มีสภาพเป็นเช่นนี้หมดทั้งน้ำและเนื้อวิดน้ำจนแห้งเหลือติดก้นชามไว้นิดหน่อยเพื่อรักษามารยาท(มีด้วยเหรอ!!!)
อา....เมื่อหมดชามแรกแล้วก็มาต่อด้วยหมูน้ำตกเพื่อลดดีกรีความเข้มข้นของเนื้อน้ำตกซะหน่อย
ชามนี้เป็นก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำน้ำใสแบบโบราณ...เดี๋ยวนี้หากินยากแล้วครับที่ครบเครื่องอย่างนี้
ดูกันชัดๆของแท้ต้องประกอบด้วยหมูสับ,ตับสด,ลูกชิ้น,ไส้และถั่วลิสงบดเมื่อคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วน้ำจะมีสีนัวๆ(เพราะถั่ว)ชามนี้ขอให้ชิมก่อนครับอย่างเพิ่มรีบปรุงเพราะรสดีอยู่แล้วอย่างผมนี่ก็แค่เติมน้ำส้มนิดเดียวก็พอแล้วครับพร้อมแล้วก็.....
ลุยยยย
เหมือนเดิมครับหมดทั้งน้ำและเนื้อภายในพริบตา

จบจากนี้แล้วก็ต้องต่อด้วยขนมหวานครับขายอยู่ด้านหน้าร้านนั่นเหละ

มีขนมถ้วย,ถั่วแปปและกล้วยอบน้ำผึ้งทอด อร่อยทุกอย๋างโดยเฉพะขนมถ้วยกับถั่วแปปห้ามพลาดเด็ดขาด

อ้อ..เกือบลืม กาแฟสดหรือชาเย็นก็อร่อยครับ

สุดท้ายนี้ก็ขอให้ไปลองดูละกันลูกค้าของร้านนี้ส่วนมากจะเป็นคนพื้นที่หรือไม่ก็จะเป็นการบอกต่อกันมาสาเหตุเพราะร้านนี้อยู่บนบกไม่ได้อยู่บนเรือจริงๆที่เห็นกราดเกลื่อนในคลองรังสิตที่ส่วนมากจะเน้นบรรยากาศ และอาหารก็แตกเมนูออกไปไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยวเรืออย่างเดียวเริ่มเพี้ยนไปหมดแล้วมีแม้กระทั่งเสต๊ก,ไก่ย่าง-ส้มตำ แต่ร้านที่ขายก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆก็ยังมีอยู่นเอาเป็นว่าะจะมาแนะนำในโอกาสต่อไปก็แล้วกัน

ผมสบายดีครับ

ขอ Update กันหน่อย ล่าสุด ณ วันที่ 1 เมษายน 2554 พบว่าราคาเปลี่ยนไปครับพี่น้อง จากเดิมธรรมดา 25 บาท ปรับเป็น 30 บาท และพิเศษปรับจากราคา 30 บาท เป็น 40 บาทครับ!!!! สุดท้ายผมคงไม่ได้ไปกินอีกแล้วครับ...

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

ริมธารอินน์ ปากช่อง จ.นครราชสีมา

สืบเนื่องมาจากรีวิว"สามชัยกาแฟ(สาขาวารินฯ) http://jumm73.blogspot.com/2009/04/blog-post_18.html
ที่บอกว่ามาพักที่ปากช่อง 1 คืน ก็เลยนำภาพโรงแรมมาให้ดูกันเพราะเห็นว่าอาจจะเป็นประโยชน์ได้บ้างสำหรับผู้ที่เดินทางไปแถวนั้นแล้วไม่รู้จะพักที่ไหนดีในครั้งนี้ผมพักที่"ริมธารอินน์"ครับ ซึ่งก่อนที่จะพักที่นี่ก็ขับรถวนเวียนไปดูมาหลายที่เหมือนกันก็ถือว่ามีที่พักหลายหลายให้เลือกมากจริงๆครับสำหรับปากช่องขึ้นอยู่กับความต้องการว่าอยากอยู่ท่ามกลางธรรมชาติหรือว่าในเมืองที่มีความสะดวกสบาย โดยส่วนตัวแล้วเลือกความสบายครับในแง่ที่ว่าสามารถหาของกินแสถานบริการได้งายและคล่องตัวจึงเลือกทีร่จะพักในเมืองครับ
ก่อนตัดสินใจเข้าพักผมได้ดูมาทั้งหมด 4 ที่
1.บ้านไม้น้ำ:สวยมากมีร้านอาหารอยู่ในตัวตั้งอยู่ริมน้ำและที่สำคัญเลยก็คือมีของเก่าที่ทางร้านสะสมและตั้งโชว์อยู่ภายในร้านเยอะมากระดับพิพิธภัณฑ์ย่อมๆเลยหล่ะ ราคาห้องพักเริ่มต้นที่ 1,500 บาท พร้อมอาหารเช้า แบบห้องธรรมดาทั่วไปไม่มีสระว่ายน้ำแต่ด้วยความที่เป็นร้านอาหารด้วยเห็ว่าไม่มีความเป็นส่วนตัวซักเท่าไหร่เพราะจากภายในห้องหากเปิดหน้าต่างหรือเดินมาที่ระเบียงก็จะพบกับส่วนที่ตั้งโต๊ะอาหารเลย สรุปแล้วเหมาะสำหรับมาทานอาหารมากกว่า
2.โรงแรมภูพญา ปากช่อง:ตัวโรงแรมมีอายุมากพอสมควรประกอบกับไม่ค่อยได้ดูแลซักเท่าไหร่จึงดูโทรมๆไปบ้าง ราคา 700 บาท พร้อมอาหารเช้าไม่มีสระว่ายน้ำ
3.โรงแรมปากช่องแลนด์มาร์ค:สภาพทั่วไปดูดีกว่าโรงแรมภูพญาเพราะเห็นว่าเพิ่งจะปรับปรุงใหม่ ราคา 1,400 บาท พร้อมอาหารเช้ามีสระว่ายน้ำเห็นว่าราคาสูงเกินไปสำหรับเขตนี้ครับ
4.ริมธารอินน์:เป็นโรงแรมขนาดเล็กสูง 6 ชั้น อายุอานามก็ 17 ปีแล้วแต่ได้รับการดูแลพอสมควรเลยไม่โทรมมากนักและที่สำคัญที่สุดก็คือ......ราคาครับ 800 บาทต่อคืนพร้อมอาหารเช้ามีสระว่ายน้ำก็เลยพักที่นี่เหละราคาสบายกระเป๋าหน่อย.....เอาละครับที่นี้มาดูกันเลยว่าเป็นไงบ้างสำหรับที่นี่
การเดินทางหากมาจากกรุงเทพเมื่อผ่าน อ.มวกเหล็กแล้วจะถึงปากช่องให้เลี้ยวซ้ายเข้ามาตามทางเรื่อยๆจนเริ่มเข้าเขตตัวเมืองจะพบไฟแดงและป้ายประตูสู่อิสานด้ายซ้ายตังโรงแรมจะอยู่ฝั่งตรงข้ามด้านขวามือพอดีครับ
เมื่อเข้าไปภายในโรงแรมชั้น 1 จะเป็นส่วนของ Lobby และห้องอาหารตอนเช้าก็มาทานอาหารที่นี่เหละครับ
Check-in เรียบร้อยแล้วก็เข้าห้องกันดีกว่า สภาพโดยรวมเริ่มโทรมแต่ว่าสะอาดใช้ได้เลย
ส่วนของเตียงนอน
โต๊ะเครื่องแป้งทรงคลาสสิคและเครื่องอำนวยความสะดวกที่มีให้
ขนมขบเคี้ยวและและเครื่องดื่มพร้อมราคา
เสร็จแล้วมาสำรวจห้องน้ำกัน
ดูจากขอบกระจกแล้วคงจะประมาณอายุได้นะครับว่าผ่านการใช้งานมากี่ปีแล้ว
หรือจะดูก๊อกน้ำก็ได้ใช้งานจนโครเมี่ยมที่เคลือบไว้ลอกจนถึงเนื้อในที่เป็นทองเหลืองแล้ว..ยังเก่าได้อีกนะนี่
เห็นที่ใส่กระดาษทิชชู่แล้วเหมือนบนเครื่องบินเลยไม่รู้ว่าใครเลียนแบบใคร...ภาพขวาน่ะ Shower เป็นแบบยืนหรือจะแช่ตัวในอ่างอาบน้ำก็ได้

จัดผ้าเช็ดตัวและผมให้ 2 ชุด ตามมาตรฐาน
เครื่องประทินผิวที่จัดไว้ให้มีเท่านี้
ดูภายในห้องแล้วมาดูส่วนของด้านนอกบ้างดีกว่าที่เห็นเป็นเก้าอี้ที่จัดไว้บริเวณหน้าลิฟต์ หากมีแขกเข้าพักมากๆคงได้ใช้นั่งรอลิฟต๋แน่ๆเพราะลิฟต์มีขนาดเล็กมากจุได้ 5 คนเอง
จาก Corridoor หน้าห้องสามารถมองทะลุลงไปถึงชั้นล่างได้ออกแบบได้ดีครับในส่วนนี้รู้สึกโปร่งสบายดี
ส่วนของด้านนอกโรงแรมก็จะมีการจัดสวนไว้ให้เดินเล่นได้เล็กน้อย
และก็มีหนอนยักษ์นอนเล่นอยู่บนพื้นหญ้า 1 คู่ เจอตอนแรกแทบช็อคแต่ก็กลั้นใจถ่ายรูปมาจนได้ มีสระว่าน้ำด้วยครับอยู่ในสวนนั่นเหละ
แต่คงจะมีไว้ดูได้อย่างเดียวครับเพราะขนาดเล็กมากหากให้เด็กๆเล่นก็พอไว้
จากสระว่ายน้ำติดกันจะเป็นส่วนของร้านอาหารครับชื่อ"ริมธาร"ไม่ได้ชิมว่าเป็นไงแต่สถานที่สวยมากอยู่ริมธารจริงๆลมเย็นสบาย สุดท้ายด้วยอาหารเช้าครับไม่ใช่บุฟเฟ่ห์สามารถเลือกได้ 1 อย่างว่าจะรับอะไรส่วนผมก็เป็น ABF อย่างที่เห็น
สรุปแล้วถือว่าใช้ได้ครับถึงจะเก่าไปหน่อยแต่ว่าสะอาดตั้งอยู่ในเมืองสามารถไปเดินเล่นที่ตลาดโต้รุ่งได้อาหารถูกและอร่อยๆทั้งนั้นซื้อมากินในห้องเลยก็ได้ ดึกๆถ้าหิวก็จะมี 7-11 อยู่ใกล้กันและเมื่อเทียบกับราคาที่จ่ายไปแล้ว...OK เลย
ผมสบายดีครับ

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2552

สามชัยกาแฟ(สาขาวารินฯ)วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

เพิ่งกลับมาจากอุบลครับด้วยเหตุที่สงกรานต์ปีนี้หยุดกันแบบยาววววววว...เป็นพิเศษ จะไปเที่ยวพัทยาหรือทะเลแถวตะวันออกก็ไปไม่ได้เพราะพื้นที่นี้สีแดงกะสีน้ำเงินเค้ากำลังเล่นสาด...กันอยู่ ก็เลยไปนอนปากช่องซะหนึ่งคืนเสร็จแล้ว(อะไรเสร็จ....)ยังไม่อยากกลับบ้านก็เลยขับรถแบบเล่นๆไปอุบล ระยะทางเบ็ดเสร็จก็ประมาณ 600 กิโล(จากกรุงเทพ)แต่ครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นจากปากช่องเลยร่นระยะทางได้นิดหน่อยคงเหลือประมาณ 450 กิโล ใช้เวลา 6 ชั่วโมง เหนื่อยสุดๆแต่ก็ยังพอฝืนๆยกแก้วได้อยู่นะ...555

เอาเป็นว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยส่วนมากก็จะวนเวียนอยู่แค่บ้านพี่บ้านน้องเค้า(น้องใครล่ะ)แต่ก็ยังทำรีวิวร้านอาหารมาให้ดูกันได้อยู่ดีเหละครั้งนี้พาไปชิมอาหารเช้ากัน ชื่อร้าน"สามชัยกาแฟ(สาขาวารินฯ)"การเดินทางเริ่มจากแยกลือคำหาญตรงที่มีปั๊ม ปตท.อยู่น่ะมุ่งหน้าเข้าเมืองวารินชำราบก็จะเจอป้ายบอกทางเป็นระยะๆก็ขอให้วิ่งตรงอย่างเดียวครับ

เมื่อผ่านแยกต่างๆมาแล้วจะพบตลาดวารินฯอยู่ทางด้านขวามือ...ช่วงนี่ที่กรุงเทพกำลังวุ่นวายกันอยู่ส่วนที่นี่ก็กำลังระดมพลกันเลยเป็นสีอะไรก็ดูเอาเองละกัน

เมื่อขับรถผ่านตลาดมาแล้วจะเห็นหอนาฬิกาตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าอย่ามัวมองเพลินอยู่ให้เลี้ยวซ้ายครับ
เลี้ยวซ้ายแล้วเจอสี่แยกเล็กๆให้ตรงไปแล้วหาที่จอดรถด้านซ้ายเลยร้านอยู่ทางขวามือ ขับช้าๆล่ะเพราะถนนสั้นมากหากเลยไปจะเข้าเทศบาลเมืองวารินชำราบต้องเสียเวลาวนรถเล่นอีกรอบเพราะเป็น one-way ครับ
จอดรถแล้วเดินข้ามฝั่งมาแหงนดูถ้าเห็นป้ายชื่อร้านอย่างงี้ก็เข้าไปนั่งได้เลยครับมาไม่ผิดแน่
เมนูอาหารก็ดูได้จากผนังร้านได้เลยจริงๆแล้วมีป้ายเมนูอาหารพร้อมราคาติดไว้อีกด้านนึงของผนังแต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาด้วยอาหารมีหลากหลายมากครับแต่จะขอแนะนำเท่าที่ได้ชิมมาครับ ที่นี่ลูกค้าเยอะนะครับมีทั้งชาวไทยและต่างชาติหากวันไหนมาพร้วมกับที่ทัวร์ลงนี่ถึงกับต้องยืนรอกันเลยหละ
เอาละทีนี้มาดูกันดีกว่าว่าจะกินอพไรดีอย่างแรกเลย แน่นอนที่สุดต้องกาแฟครับ..ก็มาร้านกาแฟนี่จะมาสั่งไก่ย่างมากินได้ไง..จริงป่ะ

ได้กาแฟมาแล้วก็จะเป็นแบบที่เห็นตามภาพด้านบนอะครับเป็นกาแฟโบราณใส่นมข้นหวาน..รสกลมกล่อม 1 ชุด ประกอบด้วย กาแฟ+ชาร้อน+ปลาท่องโก๋ ราคา 13 บาท

ถัดไปเป็นพระเอกของร้านนี้ครับ"ไข่กระทะ"มาแล้วต้องสั่ง...ที่ต้องสั่งก็เพราะไม่ค่อยมีที่ไหนเค้าทำขายอะครับ
ที่เห็นในกระทะก็มีไข่ดาว 2 ฟองโรยหน้าด้วยหมูยอและกุนเชียง และยังมีขนมปังยัดไส้ให้มาอีก 1 ชิ้น ชุดนี้ราคา 30 บาท

สุดท้ายกับก๋วยจั๊บญวนครับหน้าตาไม่คุ้นเคย...ยอมรับว่าครั้งแรกที่เคยได้กินรู้สึกแปลกๆเพราะเส้นเหนียวๆน้ำข้นๆแต่อร่อยมีทั้งหมูยอ,หมูสับและซี่โครงหมู

ราคา 30 บาท
สำหรับที่นี่แล้วเป็นอาหารที่นิยมมากเปรียบแล้วเหมือนกับที่บ้านผมกินแต่ก๋วยเตี๋ยวเรือนั่นเหละครับ และสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับมื้อนี้กับ...เครื่องชูรส
สุดท้ายแล้วขอจบด้วยภาพสัญญลักษณ์ของจังหวัดอุบลราชธานี....เทียนพรรษายักษ์ครับ